วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ประวัติ ศาลหลักเมืองอ.แม่เมาะ
จากประวัติที่มาของศาลหลักเมืองแม่เมาะ ที่ปรากฎบนแผ่นจารึกประวัติของศาลหลักเมืองและจากการสัมภาษณ์ พ่อหลวงศักดิ์สวาท อุตมาศักดิ์ อดีตกำนันตำบลแม่เมาะ อายุ 60 ปี บ้านเลขที่ 346 หมู่ที่ 8 ต.แม่เมาะ อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง ซึ่งเคยปฏิบัติงานในฐานะกรรมการบริหาร องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)แม่เมาะ(ในปี2540) และจากการสัมภาษณ์ความเป็นมาของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ จากท่านสมศักดิ์ พรหมวิชัย ประธานศูนย์วัฒนธรรมอำเภอแม่เมาะ อายุ 61 ปี เกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ.2485 บ้านเลขที่ 568/3 หมู่ที่ 8 ตำบลแม่เมาะ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ที่กรุณาให้ข้อมูลทั้งการสัมภาษณ์ การเล่าสู่กันฟังจากประสบการณ์ของท่าน และจากหลักฐานการบันทึกเรียบเรียงการเขียนเรื่องราวในอดีต โดยใช้ความรุ้และประสบการณ์การที่ท่านได้บวชเรียนเป็นพระและท่านเคยได้สอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ที่รู้เห็นเหตุการณ์ หรือสั่งสมจากการเล่าเรื่องราวสืบสานกันมาโดยตลอด ตั้งแต่ในยุคอดีตการณ์ จนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ท่านได้ให้ข้อคิดและข้อสังเกตว่า เรื่องราวที่ท่านได้บันทึกเรียบเรียงการเขียน หรือการที่ท่านได้ให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาจมีข้อมูลที่ผิดพลาดไปบ้างก็ขออโหสิกรรมต่อดวงวิญญานของบรรพบุรุษ “ เมืองเมาะ ” ด้วย เพราะด้วยความตั้งใจเรียบเรียงเพื่อความรู้แก่อนุชนคนรุ่นหลังจะได้นำไปศึกษาประวัติความเป็นมาของหลักเมืองอำเภอแม่เมาะ และเพื่อให้ชาวอำเภอแม่เมาะมีจิตสำนึกที่ดีในการอนุรักษ์ศิลปะวัฒนธรรมอันดีงามนี้ต่อไปด้วย จากข้อมูลการสัมภาษณ์ ข้อมูลการเขียนอ้างอิงดังกล่าวประกอบกับหลักฐานการบูรณะปฏิสังขรณ์ศาลหลักเมือง และการทำพิธีอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้ประดิษฐานและฉลองสมโภชครั้งหลังสุดเมื่อปี พ.ศ.2540 ทำให้ทราบความเป็นมาอย่างต่อเนื่องของศาลหลักเมืองแม่เมาะ และพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ซึ่งคณะผู้จัดทำเอกสารชุดนี้ได้นำมาเรียบเรียงและเขียนขึ้นใหม่ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต่อเนื่องและสมบูรณ์ขึ้น อันจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อการนำไปศึกษาหรือนำไปใช้ประโยชน์อ้างอิงที่เกี่ยวข้องตามวัตถุประสงค์ของการนำไปใช้ตามความสนใจต่อไป โดยมีรายละเอียดเรื่องราวความเป็นมาของศาลหลักเมือง ดังต่อไปนี้ ( สืบค้นข้อมูลและสัมภาษณ์ เมื่อ 22 ธันวาคม พ.ศ.2545 ) เมืองเมาะหรือแม่เมาะ (ปัจจุบัน) เริ่มตั้งมาเมื่อใดไม่ปรากฎหลักฐานชัดเจน เชื่อกันว่าสืบสายมาจากชนเผ่าไทยใหญ่หรือพวกเงี้ยวตระกูลพม่าและชาวไทยสมัยรบศึกกับชาวพม่าที่รักในความสงบสุข ได้ถอยอพยพลงมาจากทางทิศเหนือ (จังหวัดเชียงราย )และได้รวมตัวกันตั้งรกรากอยู่ตามลำน้ำแห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง ซึ่งเรียกว่าลำน้ำแม่เมาะ ซึ่งมีความหมายว่า “ เหมาะ ”ในภาษาพื้นบ้านเราหมายถึงอุดมสมบูรณ์ หรือในอีกความหมายหนึ่งเชื่อกันว่า คนกลุ่มนั้นได้หนีการรบศึกสงครามระหว่างชาวพม่าและ ชาวไทย เป็นการแย่งดินแดนกันในสมัยนั้น เมื่อชนกลุ่มดังกล่าวพากันหลบหนีมาอยู่บริเวณลำน้ำนี้จึงเรียกว่า “ เหมาะ ” ซึ่งเป็นความหมายว่าเหมาะกับการหลบภัยสงครามมาหาความสงบและปลอดภัย ในภาษากลางหมายถึง “หมอบ หรือหลบ ” และเรียกว่าเป็น “ ลำน้ำแม่เหมาะ” ต่อมามีการเรียกชื่อผิดเพี้ยนไปจากเดิมมาเป็น “ ลำน้ำแม่เมาะ” ในปัจจุบัน จากการรวมตัวของชนกลุ่มต่าง ๆ ในยุคเริ่มแรกตามลำน้ำแม่เมาะดังกล่าว ได้เริ่มก่อตั้งเป็นหมู่บ้านท่าสี หมู่บ้านดง หมู่บ้านหัวฝาย ในตำบลบ้านดงปัจจุบันและมีหมู่บ้านในตำบลที่สร้างใกล้เคียง คือหมู่บ้าน “เมืองจาง “ ก่อนปี พ.ศ. 1257 โดยยึดเอาการก่อสร้างวัดเป็นหลัก คือมีประวัติกล่าวถึงว่า วัดเมาะหลวง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1257 ด้วยการนำของหัวหน้าชายคนหนึ่งชื่อ “ จองกั๋นต่า ” เมื่อกลุ่มชาวบ้านรวมตัวกันมากขึ้นจึงนำกลุ่มในการตั้งเมืองหรือหมู่บ้านขึ้นคือ “ หมู่บ้านเมาะหลวง ” คำว่า “ หลวง ” ในที่นี้หมายถึง “ ใหญ่ ”นั่นเอง ซึ่งเป็นชื่อที่แสดงให้สื่อความหมายถึงว่าน่าจะเป็นกลุ่มชนที่ใหญ่หรือมีจำนวนมาก เมื่อมีการตั้งเมืองตามความเชื่อมาแต่โบราณกาล ต้องมีสิ่งที่ใช้ยึดถือและรวมจิตใจของคนในบ้านในเมือง ให้มีความเสียสละรักสามัคคีต่อบ้านเมืองหรือให้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยดูแลปกป้องรักษาบ้านเมือง จึงได้นำเอาเสาไม้จำนวน 5 ต้นโดยมีเสากลางสูงกว่าเสาอีก 4 ต้น ซึ่งเสาอีก 4 ต้นน่าจะฝังวางในตำแหน่ง ทิศทั้ง 4 และได้อัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้าประดิษฐานในเสา 5 ต้นนั้น เพื่ออาศัยเป็นศูนย์รวมจิตใจในการสร้างเมืองใหม่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะคอยปกปักรักษาคนในบ้านในเมือง เปรียบเสมือนเกราะป้องกันภัยทางจิตใจ เรียกว่า “ เสื้อบ้าน ” หรือหัวใจบ้าน หรือศาลหลักเมืองในปัจจุบัน โดยทั่วไป ศาลหลักเมือง จะมีเฉพาะศาลหลักเมืองประจำจังหวัดเท่านั้น ตามหมู่บ้านและตามอำเภอจะไม่มีประวัติศาสตร์อ้างอิงในการสร้างศาลหลักเมืองขึ้นมา จะมีปรากฎเพียงความเชื่อที่เล่าสืบต่อกันมาในการนับถือ “ ศาลเสื้อบ้าน ” ซึ่งชาวบ้านมีความเชื่อว่าเจ้าพ่อศาลเสื้อบ้านจะคอยคุ้มครอง ดูแลให้คนในหมู่บ้านมีความสงบสุข มีความอุดมสมบูรณ์ อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ลักษณะของศาลเสื้อบ้านก็จะสร้างขึ้นมาคล้ายศาลเพียงตา หรือศาลพระภูมิเจ้าที่ โดยทั่วไปเข้าใจว่าในหมู่บ้านหนึ่งจะมีศาลเสื้อบ้านเพียง 1 ศาล แต่บางแห่งอาจมีได้มากกว่า 1 ศาลในกลุ่มบ้านเล็ก ๆ ตามความเชื่อของชาวบ้านแต่ละแห่งสืบทอดกันมาที่อำเภอแม่เมาะ การนับถือเสื้อบ้านเสื้อเมืองที่เป็นตัวแทนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในการคุ้มครอง ปกป้องภัยอันตรายให้กับชาวอำเภอแม่เมาะ จึงมีอานาเขตความเชื่อที่กว้างขวาง ซึ่งมีการนำความเชื่อนั้นมาสร้างเป็นศาลหลักเมืองของอำเภอ เช่นเดียวกับ ศาลหลักเมืองประจำจังหวัด ซึ่งอาจถือได้ว่าที่อำเภอแม่เมาะ เป็นแห่งเดียวที่มีศาลหลักเมืองประจำอำเภอ ในปัจจุบันนี้ศาลหลักเมืองอำเภอแม่เมาะตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 8 บ้านเมาะหลวง ตำบลแม่เมาะ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปางโดยมีประวัติการย้ายมาจากที่ตั้งเดิมที่กล่าวถึงข้างต้น และมีการบูรณะปฏิสังขรณ์จากยุคปี พ.ศ. 1257 มาหลายครั้ง ทั้งนี้ตั้งแต่ปีพ.ศ.1257 ที่ผ่านมาโดยยึดจากการเริ่มก่อสร้างวัดเมาะหลวงตามประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึง ก่อนถึงปี พ.ศ. 2534 ได้มีการเล่าสืบกันมาจากชาวบ้าน ผู้นำหมู่บ้านหลายสมัยในแต่ละยุคว่าได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ศาลหลักเมืองให้มีสภาพที่ดีขึ้นตามยุคสมัยรวมถึง 4 ครั้ง ในการบูรณะที่ผ่านมามีผู้นำหมู่บ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ ในช่วงยุคสมัยนั้นนับตามประวัติที่กล่าวถึงคือ แสนจ๋อม , กำนันแสนแก้ว เครือบุญมา กำนันเต้ง สืบคุณะ กำนันบุญมา คำเครื่อง กำนันเป้ง คำเครื่อง กำนันมนตรี (พ่อเมา) วงศ์จักร ต่อมาใน ปี พ.ศ.2534 ได้มีการอพยพราษฎรตามโครงการขยายเหมืองแม่เมาะ เนื่องด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยมีความต้องการใช้พื้นที่ในการขุดเหมือง และทำกิจการผลิตกระแสไฟฟ้าจากทรัพยากรธรรมชาติในบริเวณ หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านดงในการอพยพราษฎรตามโครงการขยายเหมืองแม่เมาะ จากบริเวณหมู่ที่ 1 ตำบลบ้านดง มาตั้ง ณ สถานที่ ปัจจุบัน ที่ กฟผ.จัดเตรียมให้ คือหมู่ 8 ตำบลแม่เมาะ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ประชาชนชาวแม่เมาะ เห็นว่าควรมีการจัดสร้างศาลหลักเมืองแม่เมาะ ขึ้นเพื่อใช้ยึดถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ปกป้องรักษาประชาชน ชาวอำเภอแม่เมาะให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ถือเป็นหลักรวมจิตใจของประชาชนในหมู่บ้าน ดังนั้นในปี พ.ศ.2534 ซึ่งนำโดยกำนันหมาย สวัสดิ์บุญยงศ์ และพ่อเลี้ยงนวล ไชยเนตร กับพวกชาวบ้านเมาะหลวง จึงได้ดำเนินการการสร้างศาลหลักเมืองแม่เมาะขึ้นใหม่ โดยมี กฟผ.แม่เมาะ สนับสนุนในการสร้างทดแทนให้ เนื่องจากเสาหลักเมืองเดิมที่สร้างด้วยไม้มีการผุพัง สูญสลาย ไม่สามารถย้ายตามราษฎรที่อพยพมาได้ จึงทำโดยจัดพิธีกรรมเพื่อย้ายศาลหลักเมืองเดิมด้วยการ ขุดดินเศษไม้ต่าง ๆ ในบริเวณศาลหลักเมืองเดิม แล้วนำมาประกอบพิธีกรรมเพื่อสร้างศาลหลักเมืองในสถานที่แห่งใหม่ที่หมู่ 8 บ้านเมาะหลวง ตำบลแม่เมาะ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปางในบริเวณถนนหลังที่ว่าการ อำเภอแม่เมาะ (ปัจจุบัน ) ซึ่งเป็นบริเวณกลางหมู่บ้านเมาะหลวงแห่งใหม่นี้ โดยวันอาทิตย์ ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2534 ปีมะแม ตรงกับเดือนยี่เหนือ ขึ้น 11 ค่ำ ได้เริ่มประกอบพิธีลงราก ฝังหลักเมืองโดยใช้เสาปูนซีเมนต์ 5 เสาและไม่ได้สร้างให้มีหลังคาครอบศาล ในด้านพิธีการในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนามีทั้ง พิธีทางศาสนาพุทธ และพิธีทางศาสนาพรามณ์ ดังนี้คือ ใน เวลา 10.00น.ได้นิมนต์พระสงฆ์ 9 รูป มาเจริญ พระพุทธมนต์ เวลา 11.09 น. เสร็จพิธีสงฆ์ และดำเนินการประกอบพิธีทางศาสนาพรามณ์ ต่อจนถึง เวลา 15.00 น. เสร็จพิธีพราหมณ์ ในพิธีกรรมสร้างศาลหลักเมืองดังกล่าวได้มีปาฏิหาริย์ที่ทำให้ชาวอำเภอแม่เมาะเชื่อว่าเป็นความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อหลักเมือง คือในช่วงเวลา16.00 น – 20.00 น.ซึ่งเป็นพิธีอัญเชิญเจ้าพ่อหลักเมือง เข้ามาประดิษฐานที่ศาลหลักเมืองแม่เมาะแห่งใหม่นี้ ได้มีปรากฏการณ์ที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นปาฏิหาริย์ เกิดขึ้น ดังนี้ คือ เกิดลมพัดในบริเวณงานอย่างแรง โดยไม่คาดคิดมาก่อน หรือไม่มีการตั้งเค้าของการเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติมาก่อน และในเวลาเดียวกันนั้นได้มีชาวบ้านคนหนึ่งขับรถจักรยานยนต์มาเพื่อที่จะร่วมในงานอัญเชิญเจ้าพ่อหลักเมือง ขณะที่จอดรถและจะลงจากรถ ชาวบ้านเจ้าของรถคันนั้นได้เห็นงูตัวหนึ่งอยู่บนรถของตนเอง ทำอย่างไรก็ไม่สามารถไล่งูตัวนั้นได้ กลุ่มชาวบ้านที่ร่วมในพิธีงานจึงช่วยกันยกรถจักรยานยนต์ คันนั้นไปไว้ใกล้ ๆ กับบริเวณพิธี งูจึงค่อย ๆ เลื้อยลงไปที่ใต้โต๊ะพิธีจนกระทั่งเสร็จการกล่าวคำอัญเชิญเจ้าพ่อหลักเมือง มาประดิษฐานที่ศาลหลักเมืองแม่เมาะ งูจึงเลื้อยหายไปในพงไม้ และลมก็ค่อยสงบลง ตั้งแต่นั้นมาชาวแม่เมาะ จึงเชื่อในปาฏิหาริย์ครั้งนั้น และให้ความเคารพนับถือ โดยมุ่งขอความคุ้มครองปกปักรักษา ให้เกิดความสงบสุขจากความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อหลักเมืองแม่เมาะ จึงนับได้ว่าเป็นการบูรณะปฏิสังขรณ์ศาลหลักเมืองขึ้นเป็นครั้งที่ 5 ต่อมาราษฎรชาวบ้านเมาะหลวง เห็นว่าควรมีการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ เพราะเชื่อว่าการใช้เสาปูนซีเมนต์ ในการสร้างศาลหลักเมืองไม่เหมาะสม จึงเปลี่ยนใหม่โดยเปลี่ยนเป็นใช้เสาไม้ขนุนรวม 5 ต้น แทนของเดิม จัดหาโดยราษฎรบ้านเมาะหลวงและกำนันสนอง ฟุ้งเฟื่อง ช่วยกันสร้างหลังคาและศาลาครอบเสาหลักเมือง เนื่องจากงบประมาณไม่พอ เป็นทรงปิรามิดหรือทรงแหลม หลังคามุงไม่สำเร็จตลอดการก่อสร้างต้องหยุดหลายครั้งและนำลวดหนามาล้อมไว้ทั้ง 4 ด้าน ซึ่งเป็นการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่เป็นครั้งที่ 6 ต่อมาในปี พ.ศ. 2539 ชาวอำเภอแม่เมาะได้ร่วมกันบูรณะปฏิสังขรณ์ศาลหลักเมืองแม่เมาะ ขึ้นเป็นครั้งที่ 7 เนื่องจากในปี พ.ศ. 2538 นี้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเมืองยกฐานะสภาตำบลเป็นองค์การบริหารส่วนตำบล มีการเลือกตั้งสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งขณะนั้นหมู่บ้านเมาะหลวงได้ย้ายเข้ามารวมกับหมู่บ้านท่าปะตุ่น – นาแขม หมู่ที่ 7 ตำบลแม่เมาะ สมาชิก อบต. ได้รับการเลือกตั้งมา 2 คน คืออดีตกำนันศักดิ์สวาท อุตมาศักดิ์ และนางพิมผกา กีรติกรพงษ์ อบต. ตำบลแม่เมาะ ท่านทั้งสองก็ได้จัดทำโครงการเสนอของบประมาณเข้า องค์การบริหารส่วนตำบลเพื่อทำการบูรณะใหม่และมอบให้ นายวสันต์ สืบคุณะ พนักงานการไฟฟ้า เหมืองแม่เมาะ ซึ่งเป็นราษฎรบ้านเมาะหลวงได้ออกแบบประเมินราคาค่าก่อสร้าง โดยนำแบบมาจากศาลหลักเมืองของจังหวัดลำปาง มาเป็นแบบอย่างพร้อมทั้งรั้ว น้ำ ไฟฟ้า ราคาค่าก่อสร้างทั้งหมดประมาณ 1,900,000 บาท ซึ่งเป็นงบประมาณที่สูงพอสมควร ต่อมาอบต.ทั้ง 2 คนได้นำเรื่องการก่อสร้างเข้าไปหารือผู้นำท้องถิ่นระดับ ส.จ.คือนายบรรจง เวชประชา เป็น ส.จ.เขตอำเภอแม่เมาะพร้อมกับทำงบประมาณร่วมก่อสร้างผ่านนายอำเภอแม่เมาะ นายพยนต์ สุวรรณสม เห็นชอบยื่นหนังสือพร้อมแบบงบประมาณให้ กฟผ.แม่เมาะ เพื่อร่วมพิจารณาการบูรณะปฏิสังขรณ์ศาลหลักเมืองครั้งนี้ ได้รับงบประมาณสนับสนุนในการจัดสร้างศาลหลักเมืองจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โรงไฟฟ้าแม่เมาะและเหมืองแม่เมาะ ซึ่งให้การสนับสนุนงบประมาณเป็นเงิน 200,000 บาท ( สองแสนบาท )และได้รับงบประมาณสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนตำบลแม่เมาะสมทบอีกเป็นเงิน 300,000 บาท(สามแสนบาท)รวมใช้งบประมาณในการก่อสร้างครั้งนี้รวม 500,000บาท (ห้าแสนบาท) ได้เริ่มทำการก่อสร้างศาลหลักเมืองแม่เมาะ โดยห้างหุ้นส่วนจำกัดทองประชาก่อสร้างเป็นผู้รับเหมาในการก่อสร้าง ทางคณะกรรมการหมู่บ้านทุกฝ่ายได้เข้ามาร่วมมือในการจัดทำอีกครั้งหนึ่ง โดยไปหาไม้ต้นที่ใหญ่กว่ามาจากตำบลจางเหนือ เป็นไม้ค้ำ คือค้ำจุนอุดหนุนนั่นเอง และอีก 4 เสาเป็นไม้ขนุน เดิม 4 ต้นไม้ค้ำกลางและได้ให้ช่างแกะกลึงให้สวยงามดังที่เห็น ส่วนยอดหลังคาเป็นฉัตรนั้นพ่อหนานเกษม เขมจารีและคณะได้ช่วยกันจัดทำขึ้น ชาวบ้านเมาะหลวง บ้านม่อนบ้านหัวทุ่งและหมู่บ้านใกล้เคียงก็มีส่วนร่วมในการสร้างหลักเมืองอำเภอแม่เมาะ และทางอบต.แม่เมาะ จึงได้จัดสรรงบประมาณในการสร้างรั้วรอบศาลจนเสร็จสมบูรณ์จนแล้วเสร็จ ในปี พ.ศ. 2540 เมื่อศาลหลักเมืองอำเภอแม่เมาะ ได้มีการสร้างและบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ จนแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2540 นั้นได้ทำพิธีอัญเชิญยกศาลหลักเมืองขึ้นเมื่อ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2540 ได้รับการสนับสนุนจากผู้ใหญ่บ้านแสงแก้ว พรมวิชัย และ คุณสมศักดิ์ พรมวิชัย ได้เป็นหัวหน้าใหญ่ในการจัดงานบวงสรวงอย่างถูกต้อง ท่านทั้งสองได้ช่วยงานของหมู่บ้านมาโดยตลอดทั้งแรงใจ แรงกาย และแรงทรัพย์เป็นจำนวนมาก ประชาชนชาวแม่เมาะ โดยการนำของนายพยนต์ สุวรรณสม นายอำเภอแม่เมาะได้ร่วมกันจัดพิธีการอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานและฉลองสมโภช ศาลหลักเมืองอำเภอแม่เมาะ ขึ้นในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2540 โดยในพิธี ได้มีนายเฉลิมพล ประทีปวนิช ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางเป็นประธานในพิธี และมีคณะกรรมการการดำเนินงานประกอบด้วย 1. นายพยนต์ สุวรรณสม นายอำเภอแม่เมาะ ประธานกรรมการ2. นายเปรมชัย มุกสิกะภุมมะ ผช.ผจก.ธุรกิจไฟฟ้า กรรมการ3. นายวิชัย นพเก้า ศึกษาธิการอำเภอ กรรมการ4. นายเขียน เปียงแก้ว ปลัดอำเภออาวุโส กรรมการ5. นายสนอง ฟุ้งเฟื่อง กำนันตำบลแม่เมาะ กรรมการ6. นายศักดิ์สวาท อุตมาศักดิ์ กรรมการบริหารอบต. กรรมการ7. นางแสงแก้ว พรมวิชัย ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 กรรมการ8. นายบรรจง เวชประชา สมาชิกสภาเขตอำเภอแม่เมาะ กรรมการ9. จ.อ.ภู พิมพ์สอน ประธานสภาอบต.แม่เมาะ กรรมการ10. กรรมการบริหาร อบต.แม่เมาะ นาสัก จางเหนือ บ้านดง สบป้าด กรรมการ11. หัวหน้าส่วนราชการอำเภอแม่เมาะ ทุกส่วนราชการ กรรมการ12. สมาชิกสภา อบต.แม่เมาะทุกท่าน กรรมการ ผู้ใหญ่บ้านแสงแก้ว พรมวิชัย และ คุณสมศักดิ์ พรมวิชัย ได้เป็นหัวหน้าใหญ่ในการจัดงานบวงสรวงอย่างถูกต้อง งานเสร็จสมบูรณ์ได้ดังที่เห็น ซึ่งเป็นสิริมงคลแก่ชาวอำเภอแม่เมาะ ในทุก ๆ ปีจะมีพิธีบวงสรวงปีละหนึ่งครั้ง ช่วงระหว่างเทศกาลสงกรานต์เมืองเหนือ เป็นที่น่าภาคภูมิใจของอนุชนรุ่นหลังชาวแม่เมาะเป็นเพราะบรรพบุรุษของชาวอำเภอแม่เมาะที่ท่านเหล่านั้นได้ก่อสร้างในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่น่าภาคภูมิให้พวกเราได้เคารพสักการะบูชา เป็นมิ่งขวัญแก่ลูกหลานชาวอำเภอแม่เมาะ ซึ่งเชื่อได้ว่าระยะเวลานานกว่า 1,000 ปีมาแล้ว จากเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตสู่ปัจจุบัน มีเค้ามูลของหลักฐาน เหตุการณ์ที่น่าจะสันนิษฐานได้ว่าที่มีหลักเมืองขึ้นมานั้น เป็นเพราะสมัยโบราณเรียกชื่อที่นี่ว่า “ เมืองเมาะ” จึงมีเสาหลักเมืองเกิดขึ้น ซึ่งเป็นที่มาของศาลเจ้าพ่อหลักเมืองแม่เมาะ ที่เป็นสถานที่สำคัญในการเคารพบูชา และเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ช่วยปูพื้นฐานด้านขนบธรรมเนียมประเพณี ของชาวเมืองแม่เมาะมาจนถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่ ชาวอำเภอแม่เมาะได้ร่วมกันบูรณะปฏิสังขรณ์ศาลหลักเมืองแม่เมาะ ขึ้นเป็น ครั้งที่ 7 ในปี พ.ศ. 2539 จนสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2540 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันนั้น ชาวอำเภอแม่เมาะ ก็จะมีการยึดถือเป็นประเพณีสืบทอดต่อกันมา ในการจัดพิธีบวงสรวงศาลหลักเมืองอำเภอแม่เมาะ ทุกปี โดยถือปฏิบัติกันในเดือนแรกของปี ( นับแบบพื้นเมือง ) คือเริ่มต้นเดือนเมษายน
อ.แม่เมาะ

ถ้ำอินทร์เนรมิต แหล่งผลิตไฟฟ้า ถ่านหินล้ำค่า เจ้าพ่อประตูผา สวนป่าสักทอง มีประวัติเบื้องต้นเป็นตำนานเล่าว่า มีภิกษุรูปหนึ่งธุดงค์โปรดสัตว์ผ่านมาในเขตนี้ได้พบแต่ความกันดารแห้งแล้งมาตลอดทาง วันหนึ่งได้ภิกษาจารมาพบแม่น้ำสายหนึ่ง สะอาด มีต้นไม้ให้ความร่มรื่นชุ่มชื่นดี จึงได้กล่าวกับราษฎรแถบนี้ว่า แม่น้ำสายนี้เหมาะที่จะพักอาศัยเพราะมีความร่มเย็น นับแต่นั้นมาราษฎรแถบนี้จึงเรียกขานแม่น้ำสายนั้นว่า "น้ำแม่เหมาะ" แล้วจึงเรียกเพี้ยนเป็น "น้ำแม่เมาะ" จนถึงปัจจุบัน รวมตัวกันเป็นหมู่บ้านเก่าแก่เป็นเวลานับเป็นพันปี ดังนั้นราษฎรที่อำเภอแม่เมาะนี้จึงมีคนพื้นเมือง (คนเมือง) คนพื้นเมืองผสมพม่า คนพื้นเมืองผสมเงี้ยว (ไทยใหญ่) แต่โดยสภาพทั่วไปแล้วเป็นคนพื้นเมืองแทบทั้งสิ้น ครั้นเมื่อปี พ.ศ. 2515 อำเภอเมืองลำปาง กรมการจังหวัดลำปาง และสภาจังหวัดลำปางได้พิจารณาเห็นว่า พื้นที่ของตำบลบ้านดง ตำบลนาสัก และตำบลจางเหนือเป็นท้องที่ทุรกันดาร เห็นสมควรจัดตั้งเป็นกิ่งอำเภอ จึงนำเรื่องเสนอต่อกระทรวงมหาดไทยพิจารณาและยกฐานะเป็น กิ่งอำเภอแม่เมาะ ขึ้นกับอำเภอเมืองลำปางเมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2519[1] ที่ว่าการกิ่งอำเภอแม่เมาะก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2521 ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2523 ได้แบ่งตำบลบ้านดงออกตั้งเป็นตำบลแม่เมาะเพิ่มขึ้นอีก 1 ตำบลตามปเมื่อสภาพเศรษฐกิจ สังคม และจำนวนราษฎรของกิ่งอำเภอแม่เมาะเพิ่มมากขึ้นจนสามารถยกฐานะเป็นอำเภอได้ กระทรวงมหาดไทยจึงได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ยกฐานะกิ่งอำเภอแม่เมาะเป็นอำเภอ โดยได้ตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งและประกาศในราชกิจจานุเบกษาฉบับพิเศษ เล่มที่ 96 ตอนที่ 101 ลงวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2527 กิ่งอำเภอแม่เมาะจึงเป็น อำเภอแม่เมาะ ตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2527 เป็นต้นมา การปกครองส่วนภูมิภาค อำเภอแม่เมาะแบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็น 5 ตำบล 37 หมู่บ้าน ได้แก่ 1. บ้านดง (Ban Dong) 8 หมู่บ้าน 2. นาสัก (Na Sak) 8 หมู่บ้าน 3. จางเหนือ (Chang Nuea) 6 หมู่บ้าน 4. แม่เมาะ (Mae Mo) 8 หมู่บ้าน 5. สบป้าด (Sop Pat) 7 หมู่บ้าน การปกครองส่วนท้องถิ่น ท้องที่อำเภอแม่เมาะประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 5 แห่ง ได้แก่ เทศบาลตำบลแม่เมาะ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลแม่เมาะทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านดง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบ้านดงทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลนาสัก ครอบคลุมพื้นที่ตำบลนาสักทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลจางเหนือ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลจางเหนือทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลสบป้าด ครอบคลุมพื้นที่ตำบลสบป้าดทั้งตำบลระกาศกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2524 ที่ตั้งและอาณาเขต อำเภอแม่เมาะตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัด ห่างจากตัวเมืองลำปางประมาณ 20 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอแจ้ห่มและอำเภองาว ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอสองและอำเภอลอง จังหวัดแพร่) ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอลอง (จังหวัดแพร่) และอำเภอแม่ทะ ทิศตะวันตก ติดต่อกับเมืองลำปาง
วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
นครลำปาง

จังหวัดลำปาง เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคเหนือตอนบน ภูมิประเทศอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้และภูเขาสูง มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนาน มีชื่อเดิมว่า เขลางค์นคร เป็นที่รู้จักกันดีอีกชื่อหนึ่งว่า เมืองรถม้า
เป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งในล้านนา เป็นจุดศูนย์รวมทางด้านศิลปะ วัฒนธรรม สถาปัตยกรรมล้านนาอันโดดเด่น สมัยกรุงศรีอยุธยา อาณาจักรล้านนารวมไปถึงนครลำปางได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่ามานานนับสองร้อยปี ดังนั้นสถาปัตยกรรม วัดวาอาราม โบราณสถานต่าง ๆ ในเมืองลำปางจึงได้รับอิทธิพลของศิลปะพม่าเห็นได้อย่างชัดเจน อาทิ วัดศรีชุม วัดพระแก้วดอนเต้าฯ ช่วงสมัยพม่าปกครองอาณาจักรล้านนารวมไปถึงเมืองลำปางไม่ได้สร้างคุณประโยชน์แก่บ้านเมือง มิหนำซ้ำยังกระทำการย่ำยีข่มเหงชาวบ้านจนทำให้ชาวเมืองเกลียดชังไปทั่ว จนกระทั่งได้เกิดวีรบุรุษผู้กล้าแห่งบ้านปกยางคก (ปัจจุบันอยู่อำเภอห้างฉัตร) นามว่า เจ้าพ่อทิพย์ช้าง ท่านได้รวบรวมชาวเมืองขับไล่พม่าพ้นเมืองลำปางได้สำเร็จ พร้อมกันนี้ชาวเมืองจึงพากันสถาปนาท่านขึ้นเป็นเจ้าเมืองลำปาง มีพระนามว่า พญาสุวฤๅไชยสงคราม เวลานั้นเมืองลำปางเป็นเมืองเดียวในล้านนาที่ปราศจากอำนาจปกครองจากพม่า
กาลเวลาต่อมาลูกหลานของท่านได้กอบกู้เอกราชขับไล่พม่าจากแผ่นดินล้านนา และได้เป็นเจ้าหลวงเชียงใหม่ ลำพูน น่าน และต้นตระกูลของท่านมีนามปรากฏในพงศาวดารว่าราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการปฏิรูประบอบการปกครองเป็นระบอบมณฑล เมืองลำปางขึ้นอยู่กับมณฑลพายัพ (เมืองเชียงใหม่) และมณฑลมหาราษฎร์ (เมืองเชียงราย) ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 6 ได้เปลี่ยนแปลงเป็นจังหวัด เมืองลำปางจึงมีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งในล้านนา เป็นจุดศูนย์รวมทางด้านศิลปะ วัฒนธรรม สถาปัตยกรรมล้านนาอันโดดเด่น สมัยกรุงศรีอยุธยา อาณาจักรล้านนารวมไปถึงนครลำปางได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่ามานานนับสองร้อยปี ดังนั้นสถาปัตยกรรม วัดวาอาราม โบราณสถานต่าง ๆ ในเมืองลำปางจึงได้รับอิทธิพลของศิลปะพม่าเห็นได้อย่างชัดเจน อาทิ วัดศรีชุม วัดพระแก้วดอนเต้าฯ ช่วงสมัยพม่าปกครองอาณาจักรล้านนารวมไปถึงเมืองลำปางไม่ได้สร้างคุณประโยชน์แก่บ้านเมือง มิหนำซ้ำยังกระทำการย่ำยีข่มเหงชาวบ้านจนทำให้ชาวเมืองเกลียดชังไปทั่ว จนกระทั่งได้เกิดวีรบุรุษผู้กล้าแห่งบ้านปกยางคก (ปัจจุบันอยู่อำเภอห้างฉัตร) นามว่า เจ้าพ่อทิพย์ช้าง ท่านได้รวบรวมชาวเมืองขับไล่พม่าพ้นเมืองลำปางได้สำเร็จ พร้อมกันนี้ชาวเมืองจึงพากันสถาปนาท่านขึ้นเป็นเจ้าเมืองลำปาง มีพระนามว่า พญาสุวฤๅไชยสงคราม เวลานั้นเมืองลำปางเป็นเมืองเดียวในล้านนาที่ปราศจากอำนาจปกครองจากพม่า
กาลเวลาต่อมาลูกหลานของท่านได้กอบกู้เอกราชขับไล่พม่าจากแผ่นดินล้านนา และได้เป็นเจ้าหลวงเชียงใหม่ ลำพูน น่าน และต้นตระกูลของท่านมีนามปรากฏในพงศาวดารว่าราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการปฏิรูประบอบการปกครองเป็นระบอบมณฑล เมืองลำปางขึ้นอยู่กับมณฑลพายัพ (เมืองเชียงใหม่) และมณฑลมหาราษฎร์ (เมืองเชียงราย) ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 6 ได้เปลี่ยนแปลงเป็นจังหวัด เมืองลำปางจึงมีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ปาย...มั๊ย? ปา...ย
อำเภอปายตั้งอยู่ในจังหวัด แม่ฮ่องสอน เป็นเมืองก่อนประวัติศาสตร์ที่มีคนตั้งถิ่นฐาน เป็นเมืองเก่าแก่่ สำคัญสมัย ล้านนา แต่เดิมตั้งอยู่ท ี่ตำบลเวียงเหนือเป็นเมืองเก่าแก่มาช้านาน ในสมัยราชวงศ์มังราย ซึ่งมีเมืองเชียงใหม่ เป็น ศูนย์กลาง ต่อมาอำเภอปาย ได้ร้างไปพร้อมกับเมืองเชียงใหม่ เมืองปายได้ฟื้นฟูเป็นหมู่บ้านและพัฒนาเป็น อำเภอ ปายโดยมีผู้คนหลายกลุ่มชาติพันธุ์อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ ตามประวัติิความเป็นมาอณาจักรล้านนาเรียกอำเภอปายว่า "บ้านดอน" ทั้งนี้เนื่องจากมีที่ตั้งอยู่บนดอนมีป่าไม้ไผ่่ล้อมรอบ มีแม่น้ำไหลผ่าน 2 สาย คือ แม่น้ำปายและแม่น้ำเมือง และมี มีหลักฐานว่า เจ้าเมืองคนแรกคือ ขุนส่างปายและในสมัย พระเจ้าโหตรประเทศ พระราชาธิบดี เจ้าผู้ครองนคร เชียงใหม่ ส่ง เจ้าแก้วเมือง ออกสำรวจชายแดน ได้พบว่าภูมิประเทศน่าสนใจ จึงแนะนำให้ขุนส่างปาย ย้ายเมืองมา ตั้งฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปายเพราะที่ราบกว้างขวาง ผู้คนจึงเรียกเมืองใหม่ ว่า เวียงใต้ ส่วนเมืองเก่าเรียกว่า เวียงเหนือ ปัจจุบันอำเภอปายมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ได้แก่ วัดกลาง น้ำตกหมอแปง หมู่บ้านกะเหรรี่ยงแม่ปิง วัดน้ำฮู เจดีย์พระธาตุแม่เย็น น้ำตกแม่เย็น โป่งน้ำร้อนท่าปาย กองแลน สะพานประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ห้วยจอกหลวง โป่งน้ำร้อนเมืองแปง เป็นต้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)